วันสงกรานต์ปี 2557 ที่ผ่านมา พี่ชายของผมได้โทรมาหา บอกว่าเขากำลังดูที่ดินอยู่ที่สุพรรณบุรี และชวนผมให้เข้าไปดูที่ดิน โดยพี่ชายผมเล่าโครงการของเค้าว่า เค้าจะปลูกกล้วยหอมทองและปลูกมะละกอและอื่น ๆ อีกมากมาย
ผมถามกลับไปว่า จะทำไหวหรือ เพราะสำหรับคนที่เกิดและโตในต่างจังหวัดการบริหารจัดการที่ดิน 4 ไร่มันธรรมดามาก แต่ ถ้าคนที่เกิดในกรุงเทพ ฯ เห็นที่ดิน 4 ไร่ก็จะรู้สึกว่ามันใหญ่มาก
พี่ชายผมบอกว่า ใช่มันใหญ่มาก และการจะพัฒนาจากที่นาให้เป็นระบบที่เค้าคิดอาจจะต้องมีการจัดการอีกเยอะ โครงการใช้ประโยชน์จากที่ดินของพี่ชายช่างมากมายยิ่งนัก และตบท้ายด้วยการถามผมว่าผมจะปลูกอะไร
ผมไม่ได้เข้าไปดูที่ดินของเรานานมาก เนื่องด้วยพวกเราอยู่ที่กรุงเทพฯและมีงานประจำทำที่กรุงเทพฯ แม้จะแวะไปที่บ้านญาติที่สุพรรณบุรีบ่อยครั้ง แต่พวกเราที่ไม่เคยคิดที่จะทำเกษตรจึงไม่ได้แวะเข้าไปดูที่ดินแม้สักครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ผมไม่ได้คิดเอาไว้ว่าจะปลูกอะไร เพราะช่วงที่ผ่านมาไม่นานเพิ่งจะไปล้มเหลวกับการปลูกพริกขี้หนูมา เงินที่ได้ลงทุนน่าจะใช้ซื้อพริกกินได้ประมาณ 5-6 ปีมั้ง และนี้ไม่ใช้ครั้งแรกที่ผมล้มเหลว
แต่การล้มเหลวแต่ละครั้งมันมีบทเรียนสอนเราเสมอ ทำให้เราระแวดระวังและพยายามแก้ไขจุดบกพร่อง สาเหตุที่เราทำไม่สำเร็จ
แล้วประโยคจากหนังเรื่องที่ผมเคยดูก็ผุดขึ้นมาในความคิดของผม “เราไม่จำเป็นต้องชนะ แต่เราต้องสู้” (เป็นคำกล่าวของอาจารย์เจไดนามว่า เมซ วินดู ในมหากาพย์ภาพยนต์เรื่อง สตาร์ วอร์) จะลองอีกสักครั้งน่าจะไม่เสียหายอะไร คราวนี้ผไม่ได้คิดว่ามันจะต้องได้ผลเหมือนกับที่วาดฝันไว้ แต่ก็เป็นการสมควรที่จะเริ่มทำใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ใช้แล้วผมจะต้องลองทำอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จะวางวางแผนให้รัดกุมขึ้น และจะทำเรื่อย ๆ ให้เหมือนกับเราอยู่ใช้ชีวิตนี้เพื่อการเรียนรู้และให้ความรู้เติบโตขึ้นตามเวลาที่ได้ทำ
แล้วผลสรุปมันจะเป็นเช่นไร จะได้ถือว่าสิ่งเหล่านั้นคือ “กำไร” ทั้งหมด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น