มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมได้อ่านนิยาย เรื่องเพชรพระอุมา ของคุณพนมเทียน ด้วยเนื่อเรื่องที่สนุกตื่นเต้นและวิธีการเขียนของผู้ประพันธ์ เมื่ออ่านจบแล้ว ทำให้อยากรู้ให้ลึกเกี่ยวกับรายละเอียดของนิยายเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้นผมเลยมาค้นหาข้อมูลเพิ่มทางอินเตอร์เน็ต ค้นไป อ่านไปมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมากมาย อ่านไปเรื่อย ๆ จนไปพบกระทู้หนึ่งในเว็บพันทิปเกี่ยวกับเรื่องเพรชพระอุมา พออ่านจบแล้วมีความรู้สึกประทับใจกับเนื้อหาในกระทู้นี้มากจนอยากนำมาเล่าต่อ
ในกระทู้เป็นเรื่องที่เจ้าของกระทู้ นำภาพของการ์ตูนเรื่องเพชรระอุมา ซึ่งวาดโดยนักเขียนการ์ตูนชื่อดังของเมืองไทยท่านหนึ่งใช้นามปากกาว่า ตาโปน (ชัยยัณต์ สุยะเวช) มาโพสลง แล้วตั้งคำถามว่า นักเขียนการ์ตูนท่านนั้นเป็นเคยคนเขียนเรื่องนั้นจริง ๆ หรือไม่ เพราะเจ้าของกระทู้อยากอ่าน
จากนั้นมีหลายคนเข้ามาเขียนข้อความวิเคราะห์โต้ตอบกัน และในที่สุดก็มีข้อความซึ่งสามารถไขข้อข้องใจของทุกคนได้ โดยนักเขียนการ์ตูนท่านนั้นเอง เค้าได้โพสข้อความบอกเล่าถึงสาเหตุทั้งหมดที่ผู้เขียนกระทู้อยากรู้ รายละเอียดข้อความที่โพสมีดังนี้
เพชรพระอุมา เป็นการ์ตูนเรื่องแรกที่ผมเขียนครับ...
ประมาณ 17ปีที่แล้วครับ...
ขออธิบายที่ไปที่มาก่อนเลยนะครับ เพื่อจะได้รู้ถึงที่มาที่ไป
ว่าทำไมผมถึงได้เขียนเรื่องนี้ ออกมา ในตอนนั้น
ตอนเรียน ม.3 จะมีชม.แนะแนว ครูที่สอนพูดประโยคคำ
ถามมาข้อหนึ่ง ซึ่งผมเองก็ฉุกคิดกับมันมาตลอด จนจบว่า
"อยากเรียนต่อที่ไหน อยากเป็นอะไร"
ตอนนั้นผมไม่รู้จัก ใช้คำว่าไม่ได้ใส่ใจกับการเป็นนักเขียน
การ์ตูน เรียกได้ว่า ผมไม่รู้จักอาชีพนี้เลยก็ว่าได้
ผมเริ่มขีดๆเขียนๆมาตั้งแต่สมัยอนุบาล เพราะจำภาพที่
ตัวเองเขียนได้ ผมเขียนมดแดงวี3 ตั้งแต่มันเป็นหัวไม้ขีด
จนมันเริ่มมีลูกตากลมๆ มีขีดๆบนหน้า เริ่มมีนิ้วมือ เริ่มมีตัว
และมีผ้าพันคอ ยืนยันว่าอนุบาลจริงๆ เพราะวี3เป็นมดแดง
ที่ผมรู้จักจากในทีวี...สาเหตุที่เขียน เพราะผมไม่มีของเล่น
ผมอยากเล่นเหมือนที่คนอื่นมีกัน เลยเขียนมันแทนการ
ได้ของเล่นซะเลย...
จากนั้นผมถูกส่งตัวไปอยู่กับพ่อที่ ลำพูน พ่อผมทำโรงหนัง
อยู่ที่นั่น ทุกเย็น...ผมจะได้เก้าอี้มุมที่ดีที่สุดของโรงหนัง
พ่อบอกว่า จุดชมหนังที่ดีที่สุดคือ กลางโรงหนัง เพราะภาพ
ที่เห็นจะพอดีเต็มตา เสียงที่มา ก็จะได้ยินแบบรอบๆตัว
ช่วงนั้นได้ดูหนังไทยมากมาย เรื่องหนึ่งก็ดูซ้ำได้หลายรอบ
ตอนนั้นผมเรียน ป.3 เวลาไปเรียนผมก็จะเล่าเรื่องหนังให้เพื่อนๆได้ฟัง เด็กต่างจังหวัดจะไม่ค่อยได้ดูหนังกัน ที่มา
ดูหนังกันก็จะเป็นพวกผู้ใหญ่ที่มีตังกัน มันเป็นความสุขเล็กๆ
ที่ผมได้แบ่งให้เพื่อนๆได้ร่วมรับรู้ เห็นหน้าเพื่อนแต่ละคน
ที่ตั้งอกตั้งใจฟัง ผมก็ดีใจแล้วครับ
ช่วงหนังเด็ดๆในยุคนั้น...
ข้ามากับพระ
เสือภูเขา
ลูกสาวกำนัน
ไอ้คลั่งทะเลโหด
มหาหิน
ใต้ฟ้าสีคราม
คนภูเขา
และอื่นๆอีกเพียบ...
ในช่วงนั้น...เริ่มมีหนังฝรั่งเข้ามาฉายในบ้านเรา เรื่องแรก
ประเดิมโรง มาในรอบมิดไนท์(00.00) ที่คนมาออรอดูกัน
ตั้งแต่หัวค่ำเพื่อซื้อตั๋ว ซูเปอร์แมน บัตรหมดตั้งแต่1ทุ่ม
มีเก้าเสริมเป็นเก้าอี้พับ วางเรียงต่อกันเต็มโรง
ผมยืนดูใบปิดขนาดใหญ่ที่เป็นภาพเขียนทั้ง7แบบ
อยากดูอยากเห็นมาก แต่พ่อสั่งห้ามไม้ให้ดู เพราะมันดึก
คืนนั้นผมปีนหน้าต่างออกมา วิ่งอ้อมหลังโรงหลังไปขึ้นทาง
ห้องฉาย...ก้มๆคลานๆผ่านห้องฉาย ไปซุกตัวอยู่ในห้อง
ข้างๆ ซึ่งเป็นห้องของนักพากษ์ (ซูเปอร์แมนเสียงในฟิลม์)
ในห้องพากษ์ต้องปิดไฟเป็นปกติอยู่แล้ว และมีหูฟังใหญ่ๆ
แล้วจากนั้นก็เหมือนอยู่ในภวังค์ ซูเปอร์แมนสะกดผมนิ่ง
ไปเลย เกิดมาไม่เคยเจอหนังแบบนี้ คน...บิน ได้...ฮูย
ฉากที่ผมชอบมากๆ ตอนที่ซูเปอร์แมนบินมาหานางเอกที่
ระเบียงของตึกระฟ้า ร่างที่ค่อยๆร่อนถลาลงมา เท้าที่แตะ
ลงพื้นและเดินไปสองสามก้าวตามแรงเฉื่อย แม้แต่ตอนที่
ยืนริมระเบียง หันมายิ้มนิดๆ แล้วทิ้งตัวลงไปตามแรงโน้ม
ถ่วง ก่อนจะบินเชิดขึ้นไป มันติดตาจนถึงทุกวันนี้
เช้าตอนไปเรียน...ผมอยากเล่าให้เพื่อนๆได้ฟัง เพื่อนๆที่
มารอฟังทั้งขาประจำและขาใหม่ๆที่ชวนๆกันเข้ามา มีพวก
ป.5ที่เคยไล่เตะผม ก็เข้ามาร่วมฟังด้วย...แต่ผมเล่าไม่ออก
ผมเล่าไม่ได้ ผมไม่รู้จะหาคำอะไรมาเล่า มันจุกพูดไม่ออก
ผมเลยเอาสมุดเรียนมาเขียนเป็นฉากๆให้เพื่อนได้ดู ไล่เป็น
กรอบๆเรียงลงไป ไม่มีบทพูด ผมเขียนไปก็พากษ์ไป พอ
จะจำได้ว่าใช้เวลา หลายวันกว่าจะเล่าจบ
นั่นคงเป็นแรกๆเลยที่ผมเริ่มเขียนการ์ตูน ทั้งๆที่ไม่รู้จัก
อาชีพนี้เลย
วกกลับมาเมื่อผมเรียน ม.3 ผมก็เห็นหนังสือการ์ตูน
ญี่ปุ่นออกมาวางขาย ผมยอมอดกินข้าวกลางวัน เพื่อซื้อ
มาอ่าน และได้เริ่มรู้ว่า การ์ตูนญี่ปุ่นบางเรื่อง คนไทยก้คัด
ลอกมาเขียนบ้าง เลยสนใจและคิดว่าน่าจะใช่กับหนทาง
ที่ตัวเองหาอยู่ จบม.3ผมเลยไม่ได้ไปเรียนต่อที่ไหน เดิน
เข้าหาสำนักพิมพ์ขอสมัครเป็นนักเขียนการ์ตูนเลย...
แต่ตอนนั้น ไม่มีที่ไหนพร้อมจะทำการ์ตูนไทย ตอนนั้น
อาจจะเป็นช่วงที่การ์ตูนไทยขาดหายไปก็ได้ เพราะเท่าที่
จำได้ ไม่มี ไม่เคยเห็นการ์ตูนไทยเลย มีการ์ตูนญี่ปุ่นออก
มาเต็มไปหมด ผมเป็นเด็กจบม.3ใหม่ๆ ในขณะที่ไปสมัคร
กับ พี่ดม แล้วก็ถูกส่งตัวไปฝึกงานกับพี่โต้ง มีคุณชายน้อย
เป็นพี่เลี้ยงสอนแนะนำงาน มีพี่อ้อยเป็นคนเลี้ยงข้าว ได้ลง
ไปช่วยงานอาร์ตเวิร์คนิดๆหน่อยกับพี่วุฒิ โห...คนระดับบิ๊ก
ทั้งนั้นเลย แต่ก็ยังไม่ใช่จุดที่ผมอยากทำอยู่ดี
พี่สาวที่เชียงใหม่ให้ผมขึ้นไปเรียนต่อ...ผมก็ไป...
ที่นั่นพี่สาวผมทำกิจการเกี่ยวกับสื่อ มีห้องบันทึกเสียง
มีการทำป้าย ทำสื่อโฆษณามากมาย ผมเลยได้ลองฝึก
ได้ทำ ได้ช่วย ได้เรียนรู้
ผมได้ทำงานกับคนที่จบระดับมหาลัย ได้นั่งฟังตอนผู้ใหญ่
และลุกค้าประชุมวางแผนงาน มีการคิดหาแนวทางใหม่ๆ
ได้ลองทำละครเวที เป็นหัวหน้าฝ่ายฉาก ได้พี่ๆนักศึกษา
จากมหาลัยมาช่วยผม ผมก็เรียนรู้จากพี่เขา ได้เรียนทฤษฎี
จากพี่ๆเขา ตอนนั้นอายุ17-18ปีได้
แต่ทุกวัน ที่ผมทำงาน ผมก็จะมีการเขียนงานแบบการ์ตูน
ลงไปในงานด้วยทุกครั้ง ถ้าให้ผมออกแบบเองละก้อ
เป็นแนวการ์ตูนหมด...แต่มันก็ไม่ใช้หนทางที่น่าจะเป็น
จนกระทั่ง...ผมลงมากรุงเทพ มาค้นหาหนทางของตัวเอง
ได้พบเพื่อนเก่า เขาอ่านนิยาย เขาแนะนำผมให้อ่านเรื่อง
เพชรพระอุมา โดยปกติผมไม่ค่อยอ่านหนังสือเท่าไร ไม่ใช่
เพราะไม่ชอบ แต่จะเลือกอ่าน ผมได้อ่านงานแรกๆของ
วินทร์ เลียววารินทร์ ด้วย(ผมพิมพ์จากความจำสมัยเด็กนะ
ชื่อพี่เขา ผมอาจจะพิมพ์ผิด ต้องขออภัยครับ)
การได้อ่านเพชรพระอุมา ก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผู้อ่านหลายๆ
ท่านที่ได้อ่าน ผมชื่นชมกับการผูกเรื่องต่อเรื่อง การวาง
ประเด็นหลักในการท่องป่าผจญภัยที่แฝงไปด้วยกลิ่นไอ
ของความรักระหว่างชายผู้ต่ำต้อยและหญิงผู้สูงศักดิ์ รวม
ทั้งข้อมูลหลายละเอียดที่อัดแน่น อย่างผู้รู้จริง แบบว่าอ่าน
ไปแค่เล่มเดียว คุณก็เดินเข้าป่าได้เลย
ผมก็ได้แต่นอนฝัน นั่งรถก็ฝัน เห็นเป็นภาพ เห็นเป็นฉากๆ
ลอยขึ้นมา มีคนอีกหลายคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องนี้ ของดีๆ
แบบนี้ น่ามีคนอ่านเยอะๆ แต่คนเราก็ชอบกันหลากหลาย
ชอบอ่านหนังสือ ชอบดูหนัง ชอบฟังเพลง ชอบอ่านการ์ตูน
ตอนนั้นผมอายุ19ปีแล้ว ไม่ได้เรียน ไม่ได้ทำงาน เริ่มทำ
ตัวลอยไปกับลม แม่เลยให้ผมไปขายโอเลี้ยง เข็นรถ
โอเลี้ยงมาที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ตอน2ทุ่ม ขายจนถึงประมาณ
เที่ยงคืน ก็เข็นกลับ ตอนขายของ ช่วงว่างผมก็จะขีดเขียน
การ์ตูนจากเรื่องเพชรพระอุมาเก็บๆไว้ เป้นการออกแบบ
คร่าวๆ แบบสนุกๆมือ...
จากนั้นพวกพี่ๆที่เคยทำงานร่วมกันสมัยที่อยู่เชียงใหม่ ก้ลง
มาทำงานที่กรุงเทพ เขาอยากจะทำหนังสือกลอน หนังสือ
นิยายกัน แต่ยังหาอะไรมาพิมพ์ไม่ได้ มันยังไม่ชัดเจนพอ
ผมเลยเสนอว่า เอาเพชรพระอุมา มาทำกันมั้ย เขียนเป็น
การ์ตูน ช่วยๆกันทำ
ผมโทรหา 13 ถามหาชื่อคุณอาพนมเทียน ตามหาจนรู้ชื่อ
จริงและเบอร์โทร จึงได้โทรไปติดต่อคุณอาที่บ้าน ในขณะ
ที่ผมเองก็แวบไปหาคุณอาเขาแล้ว
คุณอาอนุญาติให้ผมเข้าไปพบได้ในตอนเย็น 6โมง แต่
จริงแล้วผมไปถึงแถวนั้นตั้งแต่3โมงเย็นแล้ว ก้เลยนั่งรอที่
หน้าบ้าน จนถึงเวลานัด
คุณอาพนมเทียน ตามจริงคุณอาอายุมากกว่าพ่อผมอีก แต่
ด้วยความคมสัน บึกบึ่น และดูมีฐานะ จึงดูไม่แก่เลย
คุณอาออกมาด้วยชุดสบายๆ สวมเสื้อซาฟารีสีน้ำตาล
กางเกงขาสั้น มีผ้าขาวม้าคาดเอว แกเปิดประตูหน้าบ้าน
ออกมาพอดี ผมเลยเข้าไปทัก กราบสวัสดี...
คุณอาชวนผมเข้ามาในบ้าน ให้ผมนั่งรอ ตอนนั้นในบ้านไม่
มีใคร นอกจากผมกะคุณอา ไม่แน่ใจว่า คนรับใช้อยู่ไหน
คุณอาเดินเข้าห้องทำงาน แล้วออกมาพร้อมกับแว่นตา
และปืนพกเหน็บเอวมาด้วย สีออกจะวาวขนาดนั้น แอบยัง
ไงก็เห็นน่ะครับ ผมไม่ได้รู้สึกกลัวนะครับ แค่ตะลึงที่ได้
เห็นบุคลิกของคุณอา เท่มากๆ เหมือนหนังไทยที่ผมเคยดู
แล้วผมก็บอกเจตนาทั้งหมดให้คุณอาได้ฟัง...คุณอาเอง
ก็อยากให้โอกาสเด็กอย่างผม เลยอนุญาติให้เอาเรื่องนี้
มาทำเป็นการ์ตูนได้
ผมเริ่มทำต้นฉบับเพชรพระอุมาเป็นการ์ตูน โดยไม่รู้เลยว่า
การเขียนการ์ตูนจริงๆควรทำอย่างไร ตอนนั้นก็ลองหมด
ทุกอย่าง ปากกาก็ใช้ อาร์ตเพนของรอตตริ่ง กระดาษอาร์ต
มันขนาดใหญ่กว่าเอ4 สกรีนโทนแผ่นละ200กว่าบาท และ
มีคนมาช่วยเขียนอีกราว5-6คน
ตอนนั้นรู้สึกว่า ลายเส้นปากกา กับลายเส้นดินสอ มันขัดๆ
แต่ก็พยายามเขียนให้ได้ต้นฉบับต่อเดือนเยอะที่สุด เท่าที่
จะทำกันได้ 192หน้าใช้เวลาประมาณ 1เดือนครึ่ง
พอเขียนจบก็ส่งพิมพ์ อาร์ตเวิร์คมือนี่แหละครับ ตัดแปะ
แล้วส่งพิมพ์ พอพิมพ์มาก็มาใส่ซองกันเอง เพราะทุนเรา
น้อย แจกเทียนกันคนละเล่ม รนปิดปากถุงกันจนขอบตาดำ
พิมพ์ไปได้สองเล่ม ได้เงินมาหมุนเวียนพอสมควร ก็มาติด
ที่ต้องการที่จะทำหนังสือหัวใหม่ออกมาเพิ่ม ตอนนั้นผมยัง
ไม่ค่อยเห็นด้วยกับในกลุ่ม เพราะงานที่ทำยังไม่นิ่งพอ ยัง
ต้องใช้เวลาอีกนิด ในขณะที่ฝันของคนในกลุ่มก็ไม่รอแล้ว
ยอมรับครับว่า...ตอนนั้นเด็กมากๆ 20-21ปี เด็กเกินไปกับ
งานแบบนี้ รู้แค่เขียนการ์ตูนแบบปูๆปลา พิมพ์ก็ไม่ประสี
ประสา การตลาดก็ให้สายส่งจัดการ สุดท้ายก็ต้องแยกกัน
ในช่วงมีปัญหาอืมครืมกันในทีม ผมมีเขียนต้นฉบับตอนที่4
แล้วถึงช่วงที่ ดารินโดนงูเหลือมรัด รพินทร์เข้ามาช่วย และ
โดนงูกัด ดารินใช้เสื้อชั้นในมาเป็นผ้าพันแผลห้ามเลือไว้
ช่วงนั้นเป็นช่วงเกณฑ์ทหารพอดี ผมต้องไปจับใบดำใบแดง
ผมกลัวมากที่จะติดทหาร ผมกำลังจะสร้างฝันผมอยู่ ฝันที่
อยากเป็นคนเล่าเรื่อง ฝันที่อยากทำเรื่องนี้ให้เป็นการ์ตูน
อย่างสมบรูณ์
ผมลองบนกับพระที่วัดไว้ว่า หากผมได้ทำเพชรพระอุมาต่อ
ก็ขอให้ไม่ต้องติดทหาร แล้วก็รอดครับ ไม่ติด...แต่ท้ายสุด
ทีมก็แตก ช่วงนั้นมีผู้ใหญ่ในวงการโฆษณาสนใจ ติดต่อมา
เรียกเข้าไปพบ และหาทางจะช่วย ผมเลยพาไปพบกับ
คุณอาที่บ้าน เพื่อปรึกษาหาทางที่จะทำเพชรพระอุมาตัวนี้
ต่อไป
แต่พอเปลี่ยนบุคคลที่จะมาทำ จากเด็กคนหนึ่งที่เคยถูกให้
โอกาส มาเป็นระบบธุรกิจ มีการเจรจาเงื่อนไข ข้อตกลง
ผมเองก็เหมือนไปอยู่วงนอกของการสนทนาแล้วครับ คง
ทำได้แค่ นั่งฟัง นั่งรอผลสรุปจากทั้งสองฝ่าย...
ผลที่ได้มาก็คือ ไม่ได้ทำต่อครับ ผมเองก็เจ็บใจตัวเองที่
นั่งอยู่ตรงนั้นแท้ๆ กลับทำอะไรไม่ได้ พูดอะไรไม่ได้
มันมีแค่...อยากทำ อยากทำๆ...ดังอยู่ในหัว
จากนั้นก็พยายามที่จะเขียนเรื่องใหม่ โดยมีผู้ใหญ่ในวงการ
ที่มีพระคุณคนนั้น คอยให้การสนับสนุน ได้ให้งานทำ
เป็นงานภาพประกอบลงในนิตยสาร แต่ใจผมก็ไม่ได้อยู่
ตรงนั้นเลย...
สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการได้เขียนเพชรพระอุมา การได้อ่าน
การนำมาตีความ การวิเคราะห์ การหาข้อมูลเพิ่ม มันสอน
ให้ผมได้รู้ว่า หากผมจะเล่าเรื่องอะไรสักเรื่อง ผมต้องรู้จริง
ไม่ต้องถึงกับรู้มาก แค่รู้จากข้อมูลจริง ได้ลอง ได้สัมผัส
ให้เกิดมุมมองใหม่ๆ มาเล่า....แล้วผมก็คิดว่า...
มันถึงเวลาที่ผมน่าจะเล่าเรื่องที่ตัวเองสร้างสักที
จากนั้นผมก็เริ่มเขียนการ์ตูน โดยเริ่มที่การ์ตูนเล่มละบาท
จนมาถึงทุกวันนี้...
โดยที่ เพชรพระอุมา ของคุณอาพนมเทียน การทำงาน
สร้างนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา ตลอดเวลา 25ปี ความเป็นตัวตน
ของนักเขียนจองคุณอา จุดยืนในการคิด การทำงาน
ก็ยังเป็นเรื่องที่ผมใช้เป็นแนวทางในการทำงานของผมมาโดยตลอด
โดยคิดอยู่ในใจลึกๆว่า เด็กคนนั้น เด็กบ้าๆคนหนึ่ง ที่เดิน
เข้าไปขอโอกาส ขอโอกาสที่จะได้ทำตามความเชื่อ คนนั้น
มันได้เดินเลยจากผมไปนานแล้ว...
มีแต่ชายวัยกลางคน วัย37ปี
ที่ทำอะไรอย่างกล้าๆกลัว ล้มลุกคลุกคลานคนนี้
ที่เดินตามไม่ทัน ได้แต่ร้องตะโกนให้
เด็กบ้าๆคนนั้น ...กลับมา
ขออภัยด้วยครับ ที่ใช้เนื่อที่ตรงนี้พิมพ์เสียยืดยาว
หวังว่าหลายๆคนที่เคยสงสัยกับการ์ตูนเรื่องนี้
ที่อยู่ดีๆก็ไม่ได้พิมพ์ต่อ ก็คงพอจะเติมข้อมูลในช่วง
เวลาที่ขาดหายไปได้
ขอบคุณครับ ที่กล่าวถึงกัน...
ตาโปน ชัยยัณต์ สุยะเวช 24 ส.ค. 49 16:22:56
นั้นเป็นความประทับใจของผมกับเรื่องของนักวาดการ์ตูนท่านหนึ่งที่พยายามทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง ใครอยากอ่านทั้งหมดไปที่นี่ http://topicstock.pantip.com/chalermthai/t...3/A4649283.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น