เมื่อพระยามารแสดงองค์กลับเป็นรูปพระยาวัสสดีมาร พระอุปคุตมหาเถระเห็นว่า พญามารตนนี้มีแต่ความดุร้ายคอยทำลายแต่บุญกุศลต่างๆในบวรพระพุทธศาสนา รวมทั้งไม่มีความสำนึกในบาปต่างๆ อาตมาจะกระทำให้พระยามารผู้นี้ละพยศ ปลดเปลื้องความชั่วร้าย หันกลับมาเป็นดี แล้วแปลงกายจากยักษ์ใหญ่กลับมาเป็นพระมหาเถระ
จากนั้นพระอุปคุตเถระ ได้เนรมิตร่างหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วดึงประคตจากเอวของท่าน ออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น คล้องคอพญามารไว้ พร้อมกับอธิษฐานจิตว่า “ ไม่ว่าบุคคลผู้ใดก็แล้วแต่ หรือกระทั่ง เทพยดา พรหม ขออย่าให้สามารถปลดเปลื้องหรือแก้ออกได้ ” แล้วขับพญามารออกไป จากบริเวณงานทันที
พญามารออกมาจากบริเวณงาน ด้วยความอับอาย ไม่ว่าจะทำอย่างอย่างไรซากของสุนัขเน่าที่ผูกติดคออยู่ ก็ไม่หลุดออก จึงได้ไปยังสำนักของท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิปักข์ และท้าวเวสวัณ ท้าวทั้ง ๔ พอทราบเรื่อง และรู้ว่าพระอุปคุตตเถระะเป็นผู้กระทำ จึงไม่สามารถช่วยเหลือพระยามารได้
พระยามารเมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ จึงได้ไปหา พระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรม ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ต่างได้แต่แนะนำว่า ให้พญามารไปขอขมา และขอความเมตตา จากพระเถระผู้นั้นเสียดีกว่า
พระยามารได้ฟังคำของเทวราชทั้งหลายแล้ว ก็รันทดท้อใจ จึงต้องจำใจกลับไปหาพระอุปคุตตเถระ ทั้งอาราธนาว่า “ พระคุณเจ้าผู้เจริญขอท่านจงโปรดเมตตากรุณาช่วยปลดเปลื้องซากสุนัขเน่านี้ให้ แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด พระคุณเจ้าเป็นผู้ชนะ ส่วนข้าพเจ้าเป็นผู้แพ้จะไม่คิดต่อสู้กับพระคุณเจ้าอีกแล้ว ”
พระอุปคุตเถระก็อนุโลมตาม แต่ยังไม่ไว้ใจพญามารนัก เกรงพญามาร จะกลับมาทำลายพิธีในภายหลังท่านจึงกล่าวว่า “ ดูก่อนพระยามารท่านจงไปที่ภูเขาลูกนั้นเถิด ”
โปรดติดตามต่อไปนะครับ ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น