เป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมโบราณหรือไม่ ในอาณาจักรอียิปต์ กรีกและโรมันโบราณ การป้องกันการตั้งครรภ์เป็นภาระหน้าที่ของเพศหญิง
และวิธีการคุมกำเนิดที่มีเอกสารยืนยันก็คืออุปกรณ์ที่ใช้กับสตรี ในเอเชียช่วงก่อนศตวรรษที่ 15 มีการบันทึกถึงการใช้ถุงยางอนามัยชนิดสวมครอบเฉพาะส่วนหัวขององคชาต
ถุงยางอนามัยในฐานะที่ใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อการคุมกำเนิดเป็นที่รู้จักกันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง ในประเทศจีน ถุงยางอนามัยผลิตจากไหม กระดาษ หรือลำไส้ลูกแกะ ส่วนในญี่ปุ่นจะผลิตจากกระดองเต่าหรือเขาสัตว์
แต่ไม่ว่าจะถกเถียงกันแค่ไหน ก็ไม่ใช้ประเด็นที่ทำให้กระทรวงสาธารณสุขหนักใจ เพราะเค้าออกประกาศในปี 2535 ว่าด้วยคุณภาพมาตรฐานของถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ได้กำหนดขนาด(size)ของถุงยางอนามัยไว้ทั้งหมดถึง 13 ขนาด
โดยวัดจากความกว้างของถุงยางเมื่อคลี่แบนราบกับพื้น(เส้นผ่าศูนย์กลางนั่นเอง)คือ 44-56 มม.แต่ที่มีจำหน่ายในเมืองไทย มีเพียง 2 ขนาด คือ ขนาด 52 มม. และ 49 มม.ซึ่งอันหลังเป็นขนาดที่เหมาะกับคนไทยมากกว่า (ฮู้!)
นอกจากนี้ประกาศดังกล่าว ยังกำหนดความยาวของถุงยางอนามัยวัดจากปลายเปิดไปจนถึงปลายปิด ไม่รวมส่วนที่เป็นกระเปาะหรือติ่ง ต้องไม่น้อยกว่า 160 มม.ด้วยนะครับ
ถุงยางอนามัยนั้น ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดี แต่ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดไม่ดีนัก การคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพตามทฤษฎีคือ ร้อยละ 97 แต่ในความเป็นจริง 100 คนที่ใช้ถุงยางอนามัย พลาดตั้งครรภ์ ตั้งแต่ 10 - 15 คน
นั่นคือมีประสิทธิภาพจริงแค่ร้อยละ85 - 90 หากมีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ ควรคุมกำเนิดชนิดที่แน่นอนกว่าร่วมด้วย เช่น ยาคุมชนิดกิน ฉีด ฝังคุมกำเนิด
ส่วนวิธีใส่ถุงยางอนามัยให้เข้าไปดูได้ที่
เป็นภาพวีดีโอสาธิต สั้น ๆ แต่ได้ใจความ ขอบอกว่าใจไม่แข็งห้ามดูครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น