พระหนุ่มรูปหนึ่ง มาจากต่างจังหวัด ต้องการพักค้างคืนที่วัดเซ็นแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทาง แต่วัดในนิกายนั้นมีธรรมเนียมอยู่อย่างหนึ่งว่า จะให้พระอาคันตุกะเข้าพักได้ก็ต่อเมื่อพระรูปนั้นสามารถตอบคำถามอันเป็นปริศนาของทางวัดไ้่้ด้ แล้วเจ้าอาวาสก็มอบหมายให้พระลูกวัดซึ่งมีฉายาว่าหลวงพี่เดี่ยว (เนื่องจากท่านเสียตาไปข้างหนึ่ง มองเห็นเพียงตาเดียว) เป็นผู้ทดสอบภูมิธรรมของพระอาคันตุกะ
ที่มาของภาพ : variety.thaiza.com
พุทธศาสนานิกายเซ็นในญี่ปุ่นมีวิธีการสอนธรรมมะที่ค่อนข้างแปลก ไม่นิยมการสื่อธรรมมะด้วยการพูด เพราะเชื่อว่าธรรมมะเป็นเรื่องที่ลึกซึ่งต้องสัมผัสด้วยใจ ใช้คำพูดให้น้อยที่สุด
เมื่อพระทั้งสองขึ้นธรรมาสน์เรียบร้อยแล้ว การปุจฉาและวิสัจนาก็เริ่มขึ้น โดยพระอาคันตุกะเป็นผู้เริ่มก่อน ด้วยการยกนิ้วชูขึ้น 1 นิ้ว หลวงพี่เดี่ยวจึงโต้ตอบด้วยการชูมือขึ้น 2 นิ้ว ฝ่ายพระอาคันตุกะก็รุกต่อด้วยการชูนิ้วมือเพิ่มขึ้นเป็น 3 นิ้ว หลวงพี่เดี่ยวเห็นดังนั้นก็รีบชูกำปั้นขึ้นทันที แล้วทุบเปรี้ยงไปบนธรรมาสน์ เสียงดังสนั่นไปทั่วศาลา
พระอาคันตุกะนิ่งอิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ลงจากธรรมาสน์ รีบร้อนเก็บสัมภาระ ตรงดิ่งไปหาเจ้าอาวาสที่กุฎิ พร้อมทั้งกราบเรียนว่า
“กระผมคงไม่มีบุญได้พักที่นี่ พระของท่านเก่งเหลือเกิน กระผมเริ่มตั้งกระทู้ธรรมด้วยการยกนิ้วมือขึ้น 1 นิ้ว หมายถึงพระพุทธ พระลูกวัดของท่านก็โต้ตอบด้วยการยกนิ้วมือขึ้น 2 นิ้ว เพื่อบอกว่า มีพระพุทธ ก็ต้องมีพระธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กระผมจึงโต้กลับบ้าง ด้วยการยกมือขึ้น 3 นิ้ว หมายถึงเมื่อมีพระพุทธและพระธรรมแล้ว ก็ต้องมีพระสงฆ์ซึ่งเป็นสาวกผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่พระของท่านฉลาดมาก รีบกำมือแ่น่น ชูกำปั้นขึ้นและทุบเปรี้ยงลงบนธรรมาสน์ ซึ่งหมายถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ นั้นจะต้องรวมเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่าพระรัตนตรัย กระผมอับจนในคำตอบ รู้สึกอับอายที่ศึกษามาน้อยจึงมากราบลาท่าน”
ว่าแล้วพระอาคันตุกะก็รีบเดินออกนอกวัดไปทันที โดยไม่อยู่ฟังคำตัดสินของท่านเจ้าอาวาส
ฝ่ายหลวงพี่เดี่ยว เมื่อเห็นพระอาคันตุกะเดินจากมาด้วยความรีบร้อน ก็เดินหัวเสียเข้ามาหาเจ้าอาวาส พร้อมกับรายงายผลการทดสอบว่า
“พระอาคันตุกะรูปนี้ช่างไม่มีมารยาทเสียเลย นี่ขนาดพบกันครั้งแรกก็ชูมือขึ้น 1 นิ้ว ล้อเลียนว่าผมมีตาข้างเดียว ผมนึกโมโหจึงยกนิ้วขึ้น 2 นิ้ว ชี้ไปข้างหน้าเป็นทำนองว่า แกมีตา 2 ตา แต่แทนที่พระอาคันตุกะจะรู้สำนึก กลับล้อเลียนผมต่อด้วยการชูนิ้วขึ้น 3 นิ้ว หาว่าเรา 2 คนมีตารวมกัน 3 ตา ผมเหลือทนจริง ๆ จึงชูกำปั้นขึ้นและทุบเปรี้ยงลงบนธรรมาสน์เพื่อขู่ว่าถ้าไม่เลิกล้อเลียน มีหวังเจอดีแน่ หนอย...มันรู้ทัน รีบลุกจากธรรมาสน์ไปโดยไม่ร่ำลา นึกแล้วยังเคืองไม่หาย”
เจ้าอาวาสฟังจบได้แต่อมยิ้มอยู่ผู้เดียว ไม่รู้จะตัดสินให้ใครเป็นฝ่ายชนะ
ที่มา จากหนังสือ ศาสตร์และศิลป์แห่งความเป็นผู้นำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น